บทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า AR กันนะครับ ใช้งานยังไงประมาณนี้เป็นต้นนะครับ เพื่อให้ความรู้กับผู้ที่อยากรู้จักเทคโนโลยีนี้
AR หรือชื่อเต็มก็คือ Augmented Reality เป็นเทคโนโลยีที่มีมาค่อนข้างนานมากๆ แล้วครับ แรกเริ่มก็ไปใช้ในการทหาร ใช้ในการบิน การเล็งเป้าเป็นต้นครับ แต่ด้วยเทคโนโลยีในสมัยนั้นอาจจะยังทำงานได้ไม่เต็มที่เลยยังไม่แพร่หลายเท่าไหร่จนมายุกที่มีสมาร์ทโฟนตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา เทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เริ่มเป็นที่รู้จัก
โดยในบริษัทของผมเอง อิลูชั่น คอนเน็กฯ ก็เริ่มพัฒนา AR มาตั้งแต่ปี 2554 เรียกว่าช่วงน้ำท่วมผมมีเวลาว่างพอสมควร เลยไปศึกษาหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเอามาขายลูกค้า โดยในตอนแรกเริ่มต้นของเราเนี้ย มันก็เริ่มจากอะไรง่าย ๆ เช่นแสดงโมเดลบ้าน โมเดลอะไรก็ว่ากันไปครับ แต่ขอให้แสกนที่ภาพแล้วมีโมเดลขึ้นมาถือว่าหรูหราแล้วละครับในตอนนั้น
ตัวอย่างของวีดีโอที่เราเคยทำๆ กันมา
จากตัวอย่างด้านบน เราได้มีการพัฒนาคอนเทนโมเดลที่มีอนิเมชั่นและระบบ Interactive ง่าย ๆ ใส่เข้ามาด้วย จนกระทั่งต่อมาเราพยายามทำเป็นเกม
จากตัวอย่างเราทำเป็นเกมง่าย ๆ เช่นเกมยิงลูกหินไปยังกระป๋องแล้วสะสมคะแนนง่าย ๆ
AR ถ้าถูกออกแบบมาด้วยวิธีคิดที่ถูกต้อง มันจะทำให้ผู้ใช้งานยอมที่จะดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน
หลังจากที่เราทำ AR เข้าสู่ตลาดอีเว้นท์ในประเทศไทย กระแสตอบรับที่ได้กลับมาเป็นที่ยอมรับ แต่ด้วยสมาร์ทโฟนในตอนนั้นอาจจะยังไม่ดีเท่ากับในปัจจุบันคือ อินเตอร์เน็ตยังช้า คนที่มาเที่ยวยังไม่กล้าที่จะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหน้างาน การแก้ไขปัญหาคือการเช่า iPad มาให้ผู้ร่วมงานยืมไปสแกน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายการใช้งาน
อินเตอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AR ไม่ได้รับความนิยมในตอนแรก
ผู้ที่มาร่วมงานเมื่อใช้ AR จะรู้สึกตื่นเต้นและสนุกไปกับการสแกนเพื่อหาความลับที่ซ่อนอยู่ในผนัง และต่อจากนั้นเราก็นำ AR เข้ามาใช้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อเสริมเนื้อหาเข้าไป เช่นที่ ตันแลนด์ เป็นต้นที่เรานำเอา AR เข้าไปเสริมความสนุกให้กับผู้ที่เข้าชม
จากตัวอย่างของ ตันแลนด์ ต้องการให้ AR เป็นการระบายสีที่ตัวซองของขวดน้ำไบเล่ แล้วสแกนออกมาเป็นโมเดลที่เป็นสีสรรค์ที่ถูกระบายไว้โดยผู้ใช้
ต่อการนั้นเราก็ไปพัฒนากับพวกแผ่นพับที่เป็นแนวให้ความรู้เน้นไปที่นักท่องเที่ยวสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
นี้เป็นภาพตัวอย่างจากแอปพลิเคชั่น Trips & Tips AR Book ของตำรวจท่องเที่ยว เพื่อใช้แจกนักท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเมื่อมาอยู่ในประเทศไทย
จากตัวอย่างจะเห็นว่ารูปแบบของอนิเมชั่นจะมีความสวยงามเล่าเรื่อง อีกทั้งผู้ใช้งานยังเลือกได้ด้วยว่าต้องการดูเป็นแบบ AR หรือว่าไม่ AR เพราะบางทีเราต้องคิดก่อนว่าแผ่นพับที่เราแจกไปอาจจะมีโอกาสหมดทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถสแกน AR ได้ เราเลยจำเป็นที่จะมีฟังชั่นในการให้ผู้ใช้งานกดดูอนิเมชั่นโดยไม่ต้อง AR ก็ได้ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน
พอยุคที่อินเตอร์เน็ตเริ่มเร็วขึ้นตอนที่มี 3G ในประเทศไทยอย่างจริงจังแล้วไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ ประกอบกับพื้นที่ของมือถือในเครื่องมีความจุมากขึ้นจากตอนแรกๆ ที่เริ่มต้น 32GB กลายเป็น 64GB หรือมากกว่านั้น ทางบริษัทอิลูชั่น คอนเน็กฯ จึงเล็งเห็นว่าการใช้ระบบ Cloud กับงาน AR มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาเราจึงเริ่มโครงการแอปพลิเคชัน Recall ที่ใช้เป็นระบบ Cloud 100%
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม www.myrecall.app
ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอพลิเคชัน Recall แล้วสแกนที่ภาพได้เลย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงอนิเมชั่นที่เป็น AR ได้โดยง่าย หลักการทำงานของ Recall จะเอาทุกอย่างไปไว้ใน Cloud เพื่อให้แอปมีขนาดเล็กที่สุด ผู้ใช้งานจะได้ไม่กระทบต่อการใช้งาน ลองนึกภาพนะครับว่าถ้าเราต้องยัดเนื้อหาและภาพ Marker ลงไปในแอปเป็น 1,000 ภาพขนาดของแอปคงหลาย 10GB แน่นอน แต่พอเป็น Cloud ผู้ใช้งานจะดาวน์โหลดเฉพาะเนื้อหาที่เค้า Scan เท่านั้นไม่ต้องไปสนใจเนื้อหาอื่น ๆ ที่เค้าไม่ได้ใช้งาน ประกอบกับฟังชั่นที่เรามีการถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอและฟังชั่นแชร์
ตัวอย่างลูกค้าที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Recall คงหนีไม่พ้น Nescafe Blend & Brew ที่ใช้ Recall สแกนที่ซอง, แก้ว และสถานีรถไฟฟ้า MRT วัดมังกร
และในยุคที่ 5G เริ่มใช้งานในปี 2020 รูปแบบของอนิเมชั่นสามารถที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ เพราะอินเตอร์เน็ตเร็วขึ้น ความสนจริงที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่เครื่องของผู้ใช้งานว่ามีพื้นที่ของเครื่องเท่าไหร่ มีแรมเท่านั้นประกอบด้วย เพราะเราจะมีแต่อินเตอร์เน็ตที่เร็วแต่เครื่องที่ห่วย มันก็จะไปด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างควรไปควบคู่กัน และทางอิลูชั่น คอนเน็กฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่อ่านบทความนี้จะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย